ถ้า “หนึ่งภาพ ล้านความหมาย” แล้วหนึ่งวิดีโอจะมีค่าเท่าคำพูดมากมายแค่ไหน
จากรายงาน e-Conomy SEA ปี 2024 วิดีโอคอมเมิร์ซมีสัดส่วนถึง 20% ของ GMV รวมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2022 ที่มีสัดส่วนเพียง 5% นอกจากนี้นักช็อปออนไลน์ในภูมิภาคนี้มากกว่า 40% ยังอาศัยมัลติมีเดียรูปแบบนี้ในการตัดสินใจซื้อ1
แบรนด์ไหนก็ตามที่อยากคว้าโอกาสนี้จะต้องมองหาแพลตฟอร์มวิดีโอที่เหมาะสมซึ่งมีความน่าเชื่อถือในสายตาผู้บริโภค และสามารถสร้างผลตอบแทนได้จริง
การวิเคราะห์อภิมาน (Meta Analysis) ด้าน MMM ทั่วโลกของ Nielsen เผยให้เห็นว่า YouTube สร้างผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) ในระยะยาวได้สูงกว่าการโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียถึง 2.3 เท่า2 และจากผลการสำรวจของ Kantar พบว่า 85% ของผู้ชมในประเทศไทยยอมรับว่าคอนเทนต์ของครีเอเตอร์ YouTube มีความน่าเชื่อถือมากกว่าแพลตฟอร์มอื่น (81%)3 โดย 67% ของผู้ใช้ในอินโดนีเซียกล่าวว่าตนสามารถเชื่อถือแบรนด์ที่ครีเอเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ YouTube พูดถึงได้ เมื่อเทียบกับ Instagram และ TikTok ซึ่งอยู่ที่ 47% และ 50% ตามลำดับ4
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา YouTube ได้เปิดตัว Shopping Affiliate Program ในประเทศไทยร่วมกับแพลตฟอร์ม E-Commerce อย่าง Shopee ซึ่งทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ 2 ต่อจากอินโดนีเซียหรือประเทศที่ 4 ของโลกที่เปิดตัวโปรแกรมนี้
เพื่อเป็นการใช้ศักยภาพของวิดีโอคอมเมิร์ซบน YouTube ให้เต็มที่ยิ่งขึ้น แบรนด์สามารถใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ใหม่นี้ของ YouTube Shopping ซึ่งมีลิงก์สำหรับซื้อที่โดดเด่นและสามารถฝังลงในวิดีโอ, Shorts และไลฟ์สดของ YouTube รวมถึงแสดงควบคู่กับข้อมูลที่สำคัญอย่างราคาสินค้า

ต่อไปนี้ผู้ชมที่เข้ามาดูครีเอเตอร์ YouTube เพื่อตัดสินใจซื้ออะไรบางอย่างก็จะสามารถซื้อผ่านลิงก์ได้โดยตรงเมื่อมีฟีเจอร์นี้ของ YouTube Shopping และการซื้อที่รวดเร็วทันใจขึ้นหมายความว่าครีเอเตอร์ซึ่งได้ค่าคอมมิชชันจากการขายสินค้าที่ติดแท็กจะเข้าถึงรายได้จากการขายได้เร็วขึ้นเช่นกัน
คว้าโอกาสในการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมแบบใหม่
ผลิตภัณฑ์ที่แบรนด์เพิ่มลงใน Google Merchant Center จะแสดงในโปรแกรมแอฟฟิลิเอตโดยอัตโนมัติเพื่อให้ครีเอเตอร์ YouTube เลือกติดแท็ก โดยโปรแกรมนี้ดำเนินการร่วมกับแพลตฟอร์ม E-Commerce อย่าง Shopee
ฟีเจอร์นี้ของ YouTube Shopping ยังทำให้แบรนด์สามารถเชื่อมต่อ Partnership Ad กับคอนเทนต์ของครีเอเตอร์ที่มีลิงก์สำหรับซื้อโดยตรง เท่ากับช่วยย่นระยะเส้นทางการซื้อของลูกค้า (Customer Journey) จากการค้นพบมาสู่การขาย ในขณะที่ก่อนหน้านี้ Partnership Ad แค่เพียงช่วยให้แบรนด์นำวิดีโอของครีเอเตอร์ YouTube มาใช้ในแคมเปญโฆษณาเท่านั้น ไม่ได้มีลิงก์สำหรับซื้ออย่างในตอนนี้
YouTube Shopping ยังช่วยให้แบรนด์สามารถนำชิ้นงานโฆษณาของครีเอเตอร์ทั้งในวิดีโอสั้นและยาวมาใช้ในแคมเปญ Demand Gen ที่มีฟีดผลิตภัณฑ์ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้ารายใหม่มากขึ้นบน Touchpoint ของ YouTube ที่เน้นภาพและเห็นรายละเอียดสมจริง
คลื่นลูกใหม่ของวิดีโอคอมเมิร์ซ
หลังจากที่เปิดตัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปีที่ผ่านมา โปรแกรมแอฟฟิลิเอตของ YouTube Shopping ก็ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากครีเอเตอร์หลายพันราย
ลอรีอัลเป็นหนึ่งในแบรนด์แรกๆ ที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้หลังจากที่เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปี 2024 และพบว่า Brand Lift ดีขึ้นอย่างมากจากการทำงานร่วมกับครีเอเตอร์ YouTube แบรนด์จึงมองว่าโปรแกรมนี้คือแผนขั้นต่อไปในการเพิ่มผลลัพธ์สูงสุด

เมื่อใช้แคมเปญ Demand Gen และเสริมทัพด้วยโปรแกรมแอฟฟิลิเอตของ YouTube Shopping เช่นนี้แล้ว L'Oréal Thailand จึงมียอดวิวมากกว่ายอดวิวของครีเอเตอร์ถึง 10 เท่า และมีต้นทุนต่อการเข้าชมดีกว่าแคมเปญอื่น 2 เท่า
ในขณะเดียวกัน ช่อง ingck โดยคุณอิ๊ง-ชยธร กิติยาดิศัย ครีเอเตอร์ YouTube สายบิวตี้และเจ้าของแบรนด์สกินแคร์ INGU ที่มียอดผู้ติดตามกว่า 730,000 คน ได้สร้างปรากฏการณ์ในวงการบิวตี้ด้วยการทำรายได้เพิ่มขึ้นถึง 115% ภายในเดือนแรกหลังจากที่เข้าร่วมโปรแกรมแอฟฟิลิเอต YouTube Shopping
ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า YouTube Shopping จะขยายการให้บริการไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้ หลังจากที่ได้รับการตอบรับที่ดีในอินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม โดยเรายังคงปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประสบการณ์การซื้อของ YouTube Shopping นั้นราบรื่นยิ่งขึ้น
วิดีโอคอมเมิร์ซคือสิ่งที่เข้ามากำหนดอนาคตของการช็อปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบรนด์จึงควรคว้าโอกาสนี้ด้วยการใช้ประโยชน์จาก YouTube Shopping เพื่อเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้า
สมัครรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภค แรงบันดาลใจ และกลยุทธ์ต่างๆ ทางอีเมลจาก Think with Google