เทศกาลลดราคาสำคัญช่วงสิ้นปี ซึ่งครอบคลุมวันเลขเบิ้ลในหลายเดือน เช่น 7.7 และ 11.11 ไปจนถึงช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง เช่น คริสต์มาส กำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
เพื่อคว้าความสำเร็จในช่วงพีคเซลนี้ นักการตลาดต้องนำกลยุทธ์ “A” มาใช้ ซึ่งหมายถึงการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์การตลาด แคมเปญ และแผนการตลาดต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายและกำไร
แนวทางดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้ว โดยแบรนด์ต่างๆ เช่น กลุ่มบริษัทความงาม L’Oreal, บริษัทผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก Kindee Kids และบริษัทผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ Suntory Wellness ต่างก็ประสบความสำเร็จในการขายและการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพด้วย AI
และในเทศกาลช็อปปิ้งที่กำลังจะมาถึง คุณเองก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกันด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทั้งสามนี้
1. ใช้แคมเปญที่ทำงานด้วยระบบ AI เพื่อกระตุ้นยอดขายบนแพลตฟอร์ม E-Commerce
ตลาดออนไลน์กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักช็อปเอเชีย แต่หากต้องการเพิ่มยอดขายบนร้านค้าของคุณ คุณจะต้องมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ครอบคลุมมากกว่าแค่บนแพลตฟอร์ม
เหตุผล: แม้ว่าการซื้อจะเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม E-Commerce แต่เส้นทางการซื้อของลูกค้ามักจะครอบคลุมหลาย Touchpoint และผู้ซื้อ 65% ใช้แพลตฟอร์ม Google เช่น Search และ YouTube สำหรับการค้นพบและการหาข้อมูลสินค้า1
กลยุทธ์: เมื่อใช้สื่อสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (Commerce Media) ที่ทำงานด้วยระบบ AI ผ่าน Google Ads คุณสามารถค้นหาและเข้าถึง Potential Customers ได้ในทุกช่องทางของ Google รวมถึง Search, YouTube และ Discover และคุณจะสามารถส่ง Traffic ไปยังสินค้าที่คุณขายบนแพลตฟอร์ม E-Commerce ได้โดยตรงมากขึ้น เช่น Shopee และ Lazada ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA), Flipkart ในอินเดีย และ Rakuten ในญี่ปุ่น
นอกจากนี้ แคมเปญโฆษณาที่ทำงานด้วยระบบ AI ยังช่วยให้คุณติดตามประสิทธิภาพและผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) เพื่อให้คุณปรับแต่งกลยุทธ์การตลาดค้าปลีกของคุณให้ดียิ่งขึ้นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เรื่องราวความสำเร็จ: Kindee Kids ใช้แคมเปญที่ทำงานด้วยระบบ AI เพื่อเพิ่ม Traffic ไปยังร้านค้า Shopee ซึ่งเปิดตัวด้วยรายการสินค้าขายดี 100 อันดับแรก
หลังจากแคมเปญเริ่มต้นประสบความสำเร็จด้วยยอดขายที่สูงขึ้นและได้ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) ที่ทำกำไร Kindee Kids จึงได้ขยายแคมเปญนี้ให้ครอบคลุมสินค้าอื่นๆ ต่อไป ผลลัพธ์คือได้ยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้น 40 เท่า และกำไรเพิ่มขึ้น 2 เท่า
2. ใช้ AI เพื่อปรับเส้นทางการซื้อของลูกค้าให้สั้นลง ตั้งแต่การค้นพบไปจนถึงการซื้อสินค้า
วิดีโอคอมเมิร์ซเป็นรูปแบบการช็อปปิ้งที่ได้รับความนิยมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นักช็อปออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 40% พึ่งพาวิดีโอคอมเมิร์ซเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ2
แบรนด์ต่างๆ ที่กำลังมองหาโอกาสเติบโตในธุรกิจวิดีโอคอมเมิร์ซ จำเป็นต้องค้นหาแพลตฟอร์มวิดีโอที่เหมาะสม ซึ่งแพลตฟอร์มหนึ่งที่ผู้บริโภคไว้วางใจและสามารถสร้างผลตอบแทนได้ นั่นก็คือ YouTube
กลยุทธ์: เพื่อปลดล็อกศักยภาพด้านวิดีโอคอมเมิร์ซของ YouTube ให้ใช้ฟีเจอร์ YouTube Shopping โดยจะมีลิงก์สำหรับซื้อสินค้าที่มองเห็นได้ชัดเจน ซึ่งสามารถฝังลงในวิดีโอ YouTube, Shorts และไลฟ์สด ช่วยให้ครีเอเตอร์ YouTube สามารถแท็กและโปรโมตสินค้าที่ช็อปปิ้งผ่านวิดีโอได้อย่างง่ายดาย
ลิงก์สำหรับซื้อจะแสดงควบคู่กับข้อมูลสินค้าที่มีประโยชน์ เช่น ราคา และนักช็อปสามารถซื้อสินค้าได้โดยตรงผ่านลิงก์เหล่านี้
และเมื่อใช้ YouTube Shopping แบรนด์ของคุณยังสามารถใช้ชิ้นงานของครีเอเตอร์ทั้งในรูปแบบวิดีโอยาวและสั้นเพื่อรันแคมเปญ Demand Gen ร่วมกับฟีดผลิตภัณฑ์ แคมเปญที่ทำงานด้วยระบบ AI นี้จะช่วยให้คุณขยายการเข้าถึงไปยังลูกค้าใหม่ๆ ผ่าน Touchpoint ที่ดึงดูดสายตาและเข้าถึงอารมณ์ของผู้ชมที่สุดบน YouTube
เรื่องราวความสำเร็จ: L’Oreal Thailand ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำ Brand Lift จากการร่วมมือกับครีเอเตอร์บน YouTube ต้องการเพิ่มผลลัพธ์สูงสุด จึงได้ผสานแคมเปญ Demand Gen เข้ากับโปรแกรมแอฟฟิลิเอต YouTube Shopping เพื่อให้ได้ยอดวิวจากสปอนเซอร์มากกว่ายอดวิวจากครีเอเตอร์ถึง 10 เท่า และมีต้นทุนต่อการเข้าชมน้อยกว่าแคมเปญอื่นๆ ถึง 2 เท่า
3. ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายค่าโฆษณาและผลลัพธ์ในทุกช่องทาง
หากต้องการได้รับ ROAS ที่ดีที่สุดสำหรับเทศกาลช็อปปิ้งที่กำลังจะมาถึง ให้ใช้ Marketing Mix Model (MMM) ขั้นสูง
วิธีการวัดผลที่ปลอดภัยต่อความเป็นส่วนตัวนี้ใช้ AI เพื่อติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลรวมอย่างแม่นยำ และให้ข้อมูลอินไซต์เพื่อให้คุณเข้าใจถึงผลกระทบของการลงทุนทางการตลาดของคุณทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายค่าโฆษณาและลงทุนในช่องทางที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงสุดได้มากขึ้น
กลยุทธ์: ใช้ Meridian ซึ่งเป็น MMM โอเพนซอร์สของ Google เพื่อวิเคราะห์อย่างแม่นยำว่าแต่ละช่องทางการตลาดของคุณทำงานร่วมกันเพื่อกระตุ้นผลลัพธ์ทางธุรกิจของคุณอย่างไร
MMM จะรวบรวมข้อมูลเชิงลึก เช่น ปริมาณการค้นหาบน Google หรือการเข้าถึงและความถี่ในการค้นหา และให้อินไซต์โดยละเอียดเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ได้จากความพยายามทางการตลาดของคุณ เพื่อให้คุณสามารถต่อยอดจากสิ่งที่ได้ผลเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งๆ ขึ้นไป
เรื่องราวความสำเร็จ: Suntory Wellness ในไต้หวัน ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ผลิตในญี่ปุ่น ต้องการทำความเข้าใจว่าช่องทางการตลาดออนไลน์และออฟไลน์ที่หลากหลายมีส่วนช่วยในการผลักดันยอดขายอย่างไร
จึงได้จับมือร่วมกับ Mutinex ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม MMM และ Google และใช้โมเดลที่แปรเปลี่ยนตามเวลาของ Mutinex เพื่อพิจารณาประสิทธิภาพของช่องทางการตลาดแต่ละช่องทาง รวมถึงผลกระทบจากปฏิสัมพันธ์แบบไดนามิกระหว่างช่องทางเหล่านั้น
ผลการศึกษาข้อหนึ่งของ MMM พบว่าสื่อของ Google เคยได้รับ ROAS สูงสุดจากแคมเปญในสตรีมของ YouTube จากนั้น Suntory Wellness จึงได้นำผลการค้นพบดังกล่าวมาใช้เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงสุดด้วยสื่อของ Google
สรุป: ถึงเวลายกระดับกลยุทธ์ AI ของคุณเพื่อรับมือกับช่วงพีคเซล ด้วยแคมเปญและการวัดผลที่ทำงานด้วยระบบ AI คุณจะสามารถปรับเส้นทางการซื้อของลูกค้าให้สั้นลง ตั้งแต่การค้นพบไปจนถึงการซื้อสินค้า กระตุ้นยอดขายบนแพลตฟอร์ม E-Commerce และตัดสินใจอย่างมั่นใจโดยอิงตามข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับ ROI ของคุณ